ครั้งแรกกับการปฏิบัติธรรม วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ

ครั้งแรกกับการปฏิบัติธรรม วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ

ภายในวัด

    จริงๆตั้งใจมานานแล้วว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปวัดนี้ให้ได้ เนื่องจากได้ฟังธรรมใน youtube ของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล รู้สึกว่าฟังธรรมของท่านแล้วมีความเข้าใจง่าย ท่านเทศน์แบบตรงไปตรงมา ก็เลยรู้สึกศรัทธา อยากลองไปปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ดู ไม่เคยไปวัดแบบวัดป่ามาก่อน ก็อยากลอง ..แต่เหตุผลแฝงอยู่ในนั้นก็คือ.. 
    1. เป็นคนกลัวความมืดมาก กลัวผีมาก อยากรู้ว่ามันจำเป็นต้องอยู่คนเดียวจริงๆแล้ว มันจะอยู่ได้มั้ย แล้วเป็นคนภาระเยอะมาก ถ้าเราตายแบบกระทันหันขึ้นมาล่ะ จะตัดได้มั้ย (ต้องได้ซิ555) ก็เลยถือซะว่าเป็นการซ้อมตายเลยละกัน
    2. ครบรอบวันตายของพี่สาวพอดี พอดิบกับช่วงเวลาที่ทางวัดจัดคอร์ส
    3. ช่วงนั้นรู้สึกว่าตัวเองซึมเศร้าหนักมาก ถ้าอยู่บ้านต่อไปเห็นจะไม่เวิร์ค ต้องออกจากบ้านไปซักพักดีกว่า เพราะเริ่มรู้สึกว่าคิดวนคิดเศร้ากับคำบ่นคำว่าของพ่อแม่แล้วก็เอามานอยด์อยู่คนเดียวตลอด
    โอเค..ได้เหตุผลในการไปวัดแล้ว ต่อมาลงคอร์สเลยจ้า เพราะทางวัดจะจัดคอร์สปฏิบัติธรรม 7 วันในแต่ละเดือน เตรียมตัวเตรียมใจ จัดกระเป๋ากะว่าจะนั่งรถทัวร์ไปดีกว่า ..ห้าววไง อยากทำอะไรคนเดียวงี้ อยากเดินทางคนเดียวงี้ ผลสุดท้ายสรุปคือ..เหมารถตู้จ้า555 พ่อกะแม่รวมถึงญาติพี่น้อง ก็มาด้วยกันหมด เพื่ออออ...มาส่งเราคนเดียว555 แต่เค้าตั้งใจมาดูวัดด้วยแหละ ไม่เคยมาก็อยากมาไรงี้ อิอิ 
    เหตุของเหตุที่ต้องเหมารถเพราะโควิดด้วย กลัวว่าถ้านั่งรถทัวร์ไป ถ้ากลับไปบ้าน นอกจากจะเอาบุญไปฝากพ่อแม่แล้ว ดูแล้วได้เอาโควิดไปฝากพ่อกับแม่ด้วยแน่นอน ระหว่างนั่งรถตู้ไปน้านน.. ก็หลงทางนิดหน่อย ก็เลยโทรศัพท์ไปหาเบอร์ที่มีในเวปของวัดป่าสุคะโต พอโทรไป
   พี่ที่รับสายบอกว่า : "มาทำไมคะ ไม่รู้หรอว่าเค้า  
                                   ยกเลิกคอร์สไปแล้ว 
                                  เค้าประกาศผ่านเฟสแล้วค่ะ"
   เรา                       :  เอิ่มม.. (สตั้นท์ไป 3 วิ)
                                  "อ้าววว..ทำยังไงอ่ะคะ มาไกล
                                  ด้วยอ่ะค่ะ จะถึงวัดอยู่แล้วค่ะ"         พี่ที่รับสาย             : "งั้นก็มาก็ได้ค่ะ 
                                   มีพระอาจารย์สอนให้อยู่ค่ะ .."
                               
หลังจากวางสายน้านน.. ในหัวคิดว่า "เอาวะ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วมันมีเหตุผลของมัน"
     พอถึงวัดแล้วเราก็นำข้าวสาร ของใช้มาถวายวัด วัดนี้คือ เวลาเราจะถวายของหรือเงินใดๆ ไปโรงทานที่เดียวเลย ไม่ต้องรอให้พระมารับให้พรแต่อย่างใด ไม่มีพิธีรีตรอง อีกหนึ่งความประทับใจ ทุกอย่างเรียบง่าย
    หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยกับแม่ชีและผู้คนที่อยู่ในโรงครัว คนที่นั้นเป็นมิตรมากค่ะ บอกว่า"รีบไปลงทะเบียนแล้วรีบมากินข้าวนะ" พอไปถึงที่ลงทะเบียน แม่ชีก็ยื่นกุญแจให้ บอกว่า "นี่ ห้องของโยม" เราก็ถามกลับไปว่า "นอนคนเดียวหรอคะ แม่ชีบอก "ใช่ค่ะ" ตอนนั้นคิดว่า ( โอ้ มายก้อดด!! เอาวะ! เอาวะ!เรามาเพื่อฝึกตัวเอง ฝึกอยู่คนเดียวในที่มืด..ปลุกใจตัวเองหนักมาก ณ ตอนนั้น555)
กุฏิที่พัก
    หลังจากกินข้าวเรียบร้อย รอเวลาเพื่อพบพระอาจารย์สำหรับคนเข้าใหม่ ตอนนั้นที่ไปสมัครคิดว่าไม่น่าจะเจอใครแล้ว แต่โชคดีมาก ก็มีคนทีไม่เล่นเฟสซึ่งไม่รู้ว่าคอร์สปิด ก็มีมาเหมือนกัน
สถานที่ทำวัตรเช้า-เย็น และปฏิบัติ
    วันแรก ก็ยังชิวๆ แต่จะไม่ชิวก็ตอนนอนเนี่ยะแหละ อากาศที่นี่เย็นสบาย นอนไม่ต้องเปิดพัดลมเลย ตอนเช้าถึงกับต้องใส่เสื้อกันหนาว อากาศเย็นทีเดียว คืนแรกก็นอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะกลัวมาก เงียบก็เงียบ มืดก็มืด แต่ก็ยังโอเค พยายามให้หลับก็หลับได้ เพราะเปิดไฟฉายทั้งคืน555
สถานที่สำหรับปฏิบัติ
   วันที่ 2 ก็เริ่มปฏิบัติ ที่นี่ปฏิบัติตามแนวหลวงพ่อเทียนคือ เป็นสมาธิแบบเคลื่อนไหว ฝึกความรู้สึกตัว วันแรกยังไม่ค่อยสนิทกับคนอื่นเท่าไหร่คุยได้ แต่ยังเขินๆกันอยู่เล็กน้อยถึงปานกลาง555 วันที่ 2 นี้ก็ยังโอ แต่พอตอนเข้าโหมดตอนนอนในห้องมืดๆเท่านั้นแหละ จากที่ง่วงๆตอนปฏิบัติ ก็ตื่นเลยทีนี้ ประเด็นคือ เราจะเปิดไฟฉายทั้งคืนไม่ได้แล้ว เพราะเราไม่มีถ่านมาเปลี่ยน555 ต้องวางระบบการจัดการดีๆ ก็เลยเปิดไฟฉายทิ้งไว้เหมือนเดิม แต่พอง่วงจัดๆถึงจะปิด
ตอนทำวัตรเช้า
   วันที่ 3 ขอบตาเริ่มคล้ำ แพนด้าก็มา555 เริ่มมีความสะโหลสะเหล พอเริ่มทำวัตรเช้า ฟังธรรมตอนเช้ามีความสัปหงก หลังกินข้าวเช้าเสร็จก็จะมีการปฏิบัติกันยาวไปๆ จนถึงกินข้าวกลางวัน แล้วหลังจากกินข้าวก็ปฏิบัติ ทั้งยืน ทั้งนั่งกันยาวไปเลยนู่นน.. จนถึง 4 โมงเย็น แต่ระหว่างนั้นสิ เวลาอันยาวนานขนาดนั้นจะเหลือหรอ ระหว่างนั่งทำสมาธิแบบเคลื่อนไหว ลืมตาด้วยนะ ก็..หลับค่ะ ยืน..ก็หลับค่ะ เดิน..ก็หลับค่ะ ล้างหน้าก็แล้ว เดินไวๆก็แล้ว เดินถอยหลังก็แล้ว ไม่ไหว ไม่สามารถช่วยได้เลยจริงๆ พระอาจารย์ที่สอนเราก็เลยบอกให้เดินไวๆ เปลี่ยนอิริยาบท ฯลฯ อีกมากมาย555 ก็...หลับ พอหมดวันเข้าโหมดกลางคืน เหมือนเดิมค่ะ เอาไงดี สรุปก็นอนเปิดๆ ปิดๆไฟฉายเหมือนเดิม หลับๆตื่นๆเหมือนเดิม
    
    เข้าวันที่ 4 เอายังไงๆๆ มีอะไรพัฒนาบ้างมั้ย (ถามตัวเอง555) ก็รู้สึกว่า การทำสมาธิแบบเคลื่อนไหว ที่เราไม่เคยทำมาก่อนเพราะก่อนหน้านี้จะเป็นแบบ เดินหนอ ย่างหนอ ..หนอ ..หนอ แล้วก็นั่งสมาธิแบบหลับตา พอมาแบบนี้แล้วรู้สึกว่าการนั่งแบบหลับตาก็ดีไปอีกแบบคือได้สมาธิ จิตสงบ (ถ้าทำได้นะ555) แต่แบบเคลื่อนไหว สิ่งที่ได้คือความรู้สึกตัว เพิ่งได้รู้จากที่นี่แหละว่า เราลองไม่ใช้ความคิดซิ ลองแบบรู้สึกเฉยๆ เป็นยังไง (ต้องลองเองน้าา ของแบบนี้ต้องลอง บอกไปก็ไม่เห็นภาพ อิอิ)
    ก็เลยรู้สึกว่า ใจมันจะเบาหน่อยๆ สมองมันจะโล่งหน่อยๆ เออ..ก็ดีไปอีกแบบนะ ดีมากด้วย แต่พอปฏิบัติตอนกลางวันปุ๊บ เหมือนเดิมค่ะ หลับซิคะ  หลวงพ่อบอกให้รู้ซื่อๆ เราหลับซื่อๆเลยค่ะ555 ไม่รู้จะทำยังไงยังหาวิธีไม่ได้จริงๆ แต่วันนี้เริ่มนอนตอนกลางคืนได้แล้ว ไม่ใช่เพราะเก่งนะ เพราะร่างไม่ไหวแล้ว555
ที่เดินจงกรม

    วันที่ 5 เริ่มชินกับหลายสิ่งหลายอย่าง กับเพื่อนใหม่นี่ไม่ต้องพูดถึง เฮฮากันเลยทีเดียว จนบางทีก็โดนดุเล็กน้อยถึงปานกลาง แฮะ..แฮะ.. แต่เวลาเราปฏิบัติ ก็ปฏิบัติกันจริงจังจริงๆนะ แยกกันเลย ไม่พูดไม่คุย มาวันนี้ขณะที่ทำสมาธิเคลื่อนไหวแต่หลับอยู่ ทันใดน้านน... พระอาจารย์แอบมาเงียบๆ555 แล้วก็เปล่งเสียงดัง.."อ้าว!!หลับแล้วโยม!! ไปล้างหน้า !! ยกมือสูงๆ!! ไม่งั้นก็ไปเดิน!!" เราก็สะลึมสะลือ แฮะ.. แฮะ..เราถึงกับสะดุ้งกันเลยทีเดียว555 ตื่นเลยค่ะ555 ตื่นแบบไม่ต้องล้างหน้าเลยค่ะ555 ก็เลยมาคิดว่า เราจะทำยังไงดีน้าา.. ทำไมหลับตลอดเวลาเลย หลับแบบไม่รู้ตัวด้วย ตอนหลังก็คิดหาวิธีลองแบบนี้ดูซิน่าจะโอ..ก็โอจริงๆ (แต่ไม่บอกนะวิธีอะไร ต้องหาวิธีกันเอาเองนะ ลองแล้วจะรู้ เดี๋ยวมันหาทาง หาวิธีของมันจนได้แหละ แล้วแต่ใครจะหาวิธียังไง ) เรื่องหลับก็หาทางออกได้แล้ว แต่ที่ยังไม่ผ่านก็เห็นแต่จะเป็นเรื่องนอนที่มืดๆคนเดียวเนี่ยะแหละ ยังไม่รู้จะทำยังไงดี555
ไปร่วมเดินบิณฑบาต

วิถีเรียบง่าย

    ตัดภาพเป็นวันสุดท้าย วันกลับได้มีโอกาสได้ไปเดินเป็นเด็กวัด ร่วมทางไปกับพระเพื่อไปบิณฑบาต เดินไปกลับประมาณ 8 กิโลเมตร พระไม่ใส่รองเท้า เราใส่รองเท้า แต่กลับกลายเป็นว่าเท้าเราพองซะงั้น แต่รู้สึกดีมากเลย ชอบความเรียบง่ายของที่นี่ทุกอย่างเลย แล้วก็ทางที่เดินไปนั้นยังมีความเป็นชนบทอยู่ ชอบมากเลย รู้สึกอินมากเลย สงบเงียบ เรียบง่าย อ้อ! ที่นี่ตักบาตรข้าวเหนียวกันนะ แล้วกลับมากินข้าวเช้าก็เตรียมตัวกลับบ้าน


ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี

บรรยากาศสวยๆระหว่างไปบิณฑบาต

โชคดีที่ได้พบเพื่อนที่ดี

     สรุปจากการเดินทางครั้งนี้ สิ่งที่ได้มากมายจริงๆ ที่นี่เป็นเหมือนโรงเรียน ซ้อมไว้เพื่อไปใช้จริง ขอขอบคุณหลวงพ่อเทียนที่ทำให้เราได้รู้จักกับการปฏิบัติแบบเคลื่อนไหว ขอขอบคุณหลวงพ่อคำเขียน และพระไพศาลและอาจารย์ทุกท่านที่นี่ ทุกท่านเปรียบเสมือนครู และเราได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระไพศาลตัวจริง เสียงจริง ไม่ต้องผ่าน youtube ขอบคุณสถานที่วัด ขอบคุณแม่ชี และเจ้าหน้าที่ทุกคนจริงๆ ขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เจอกันในวัด แล้วยิ่งพอได้ทราบประวัติของหลวงพ่อคำเขียนคร่าวๆ บางเหตุการณ์ ที่ท่านได้เจอมานั้น ทำให้เรามีแรงบันดาลใจ เป็นกำลังใจให้เรายืนหยัดกับการทำประโยชน์เพื่อวัดแถวบ้านและสังคมตามโอกาส ต่อให้บางครั้งก็มีคนไม่เห็นด้วยหรือมีอุปสรรคใดๆก็ตาม
   เราได้ความเย็นใจ เราได้ความรู้สึกตัว ทุกคนมีหลงลืมกันเป็นปกติอยู่แล้ว หลงคิดเรื่องเดิมๆ เรื่องเก่าๆ คิดนู่น คิดนี่ แต่พอเราคิดแล้วมันจะมีความรู้สึกตัว มีสติ ได้ไวหรือช้าก็แล้วแต่ความเข้มข้นของกิเลส หรือความหลงของวันนั้นๆ555 แล้วก็อยู่ที่ความเข้มข้นของสติในวันนั้นด้วย555 และที่สำคัญ คือ เราได้เพื่อนกลุ่มใหม่ ที่เป็นแนวเดียวกัน ความอินดี้เอย.. ความถึกเอย.. ความลุยเอย.. โชคดีมาก ทุกวันนี้ก็ยังได้ติดต่อขอไลน์คุยกันอยู่ หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอ ได้เที่ยว หรือได้ไปปฏิบัติธรรมด้วยกันอีก เจอกันอีกทีหลังโคขวิด เอ้ยย!! โควิด เอ้ยย!! ถูกแล้ว!! แฮร่!! 5555
    ท้ายสุด อยากให้ทุกคนลองเปิดใจ ลองสักครั้งกับการปฏิบัติแบบรูปแบบที่เราไม่เคยลอง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นประสบการณ์ เป็นการเรียนรู้ของแต่ละคนเอง อย่างที่เค้าเรียกว่า "ปัจจัตตัง" ไง
    **ท้ายสุดๆ อยากจะบอกว่า การพัฒนาตัวเอง หรือพัฒนาจิตใจ ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ใกล้ หรือไกล เราอยู่บ้าน หรือ อยู่ข้างนอกเราก็พัฒนาจิตใจตัวเองได้ เพียงแค่เรา "รู้สึกตัว" **


ความคิดเห็น